1. เทคโนโลยีเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN)
เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network)
คือการจำแนกประเภทเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามขนาดทางภูมิศาสตร์
ใช้เรียกเครือข่ายขนาดเล็กที่มีพื้นที่จำกัด เช่น ภายในสำนักงาน หรือภายในองค์กรที่มีหน่วยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ในการเชื่อมต่ออาจจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกันเพียงแค่สองเครื่อง
ไปจนถึงเครือข่ายที่สลับซับซ้อน มีคอมพิวเตอร์เป็นพันๆ เครื่อง เครือข่ายท้องถิ่น
เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network) หรือที่บางครั้งเรียกสั้นๆ ว่าเครือข่ายเลน (LAN)
ถือว่าเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงซึ่งมีความทนทานต่อการเกิดข้อมูล
เราสามารถนำเอาเทคโนโลยีเครือข่ายท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย
เช่น การแบ่งปันการใช้อุปกรณ์และโปรแกรมสำเร็จรูปภายในสำนักงานการแลกเปลี่ยนไฟล์ข้อมูลระหว่างผู้ใช้ในระบบเครือข่าย
สื่อสารโดยใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมสนทนา และ โปรแกรมสำเร็จรุปต่างๆ
เครือข่ายท้องถิ่น
สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น เครือข่ายท้องถิ่นแบบอีเธอร์เน็ต (Ethernet)
เครือข่ายท้องถิ่นแบบโทเคนริง (Token Ring) เครือข่ายท้องถิ่นแบบ FDDI (Fiber Distribotion Data Interface ) และเครือข่ายท้องถิ่นแบบไร้สาย
(WLAN:Wireless LAN) เป็นต้น
ซึ่งในปัจจุบันเครือข่ายท้องถิ่นส่วนใหญ่จะใช้เทคโนโลยีเครือข่ายท้องถิ่นแบบอีเธอร์เน็ต(Ethernet)
และแนวโน้มการใช้งานเครือข่ายท้องถิ่นแบบไร้สายซึ่งได้สร้างความสะดวกสบายอิสระในการติดตั้งใช้งาน
ก็เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน
2.เครือข่ายอีเธอร์เน็ต (Ethernet)
อีเธอร์เน็ต (Ethernet)
เป็นเทคโนโลยีเครือข่ายที่ถูกคิดค้นมากกว่า
30 ปี ถือได้ว่าปัจจุบันเป็นเครือข่ายท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
เทคโนโลยีนี้ได้ถูกพัฒนาโดยสถาบัน IEEE (Institute of Electrical and
Electroics Engineer) ใช้มาตรฐานการส่งข้อมูลหรือโปรโตคอล CSMA/CD(Carrier Sense
Multiple Access with Collision Detection) ในการเข้าถึงสื่อกลางในการรับ-ส่งข้อมูล
มาตรฐานอีเธอร์เน็ตได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
จากช่วงแรกสามารถทำงานได้ที่ความเร็ว 10 เมกะบิตต่อวินาที
ปัจจุบันอีเธอร์เน็ตได้มีการพัฒนาปรับปรุงเทคโนโลยีให้มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลเพิ่มขึ้น
เช่น อีเธอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ ฟาสต์อีเธอร์เน็ต (Fast Ethernet) ซึ่งได้พัฒนาโปรโตคอลให้มีการรับ-ส่งข้อมูลแบบ Full
Duplex ซึ่งปัจจุบันอีเธอร์เน็ตได้พัฒนาให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ในระดัความเร็ว
10000 เมกะบิตต่อวินาที หรือ 10 กิกะบิตต่อวินาที
เพื่อรองรับงานที่ต้องการความเร็วสูง
2.1
เครือข่ายอีเธอร์เน็ต 10Base2
คือระบบเครือข่ายอีเธอร์เน็ต
ที่ถูกนำมาใช้งานในสมัยแรกๆ ขอระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เหมาะสำหรับองค์กรขนาดเล็กที่มีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่มาก
และมีความต้องการความเร็วของระบบไม่สูงนัก เพราะเครือข่ายอีเธอร์เน็ตแบบ 10Base2
มีความเร็วที่ 10เมกะบิตต่อวินาที ใช้สายโคแอ็กเชียลในการเชื่อมต่อ
ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมในการใช้งาน
เนื่องจากปัญหาด้านความเร็วและอุปกรณ์ในการเชื่อมต่อ
ตารางแสดงคุณสมบัติของเครือข่ายอีเธอร์เน็ต
10Base2
2.2
เครือข่ายอีเธอร์เน็ต 10Base T
คือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมสำหรับองค์กรหรือหน่วยงาน
ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ประมาณ 20 เครื่อง
ถูกออกแบบสำหรับการใช้งานที่รองรับแบนด์วิธ (Bandwidth) ไม่สูงนัก เช่น การแชร์ไฟล์ข้อมูล เครื่องพิมพ์
หรือการใช้งานระบบอินเทอร์เน็ต ให้ความเร็วในการสื่อสารข้อมูลข้อมูล 10เมกะบิตต่อวินาที
ใช้งบประมาณในการติดตั้งน้อย ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบ 10BaseT
มีข้อกำหนดดังนี้
ตารางแสดงคุณสมบัติของเครือข่ายอีเธอร์เน็ต
10Base2
2.2
เครือข่ายอีเธอร์เน็ต 10Base T
คือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมสำหรับองค์กรหรือหน่วยงาน
ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ประมาณ 20 เครื่อง
ถูกออกแบบสำหรับการใช้งานที่รองรับแบนด์วิธ (Bandwidth) ไม่สูงนัก เช่น การแชร์ไฟล์ข้อมูล เครื่องพิมพ์
หรือการใช้งานระบบอินเทอร์เน็ต ให้ความเร็วในการสื่อสารข้อมูลข้อมูล 10เมกะบิตต่อวินาที
ใช้งบประมาณในการติดตั้งน้อย ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบ 10BaseT
มีข้อกำหนดดังนี้
ตารางแสดงคุณสมบัติของเครือข่ายอีเธอร์เน็ต
10BaseT
2.3 เครือข่ายอีเธอร์เน็ต
100BaseTX
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
100BaseTx เหมาะสำหรับองค์กร ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมาก
ต้องการความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงๆ เช่น ระบบงานฐานข้อมูล,Web
Service , ระบบงานมัลติมีเดีย และร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ระบบเครือข่าย 100BaseTX
มีความเร็วในการสื่อสารข้อมูล 100 เมกะบิตต่อวินาที ใช้งบประมาณติดตั้งไม่สูงมากนัก
โดยมีข้อกำหนดสำหรบการเชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์ดังนี้
ตารางแสดงคุณสมบัติของเครือข่ายอีเธอร์เน็ต
100BaseTX
2.4 เครือข่ายอีเธอร์เน็ต
100BaseFX
เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ที่มีความเร็วในการสื่อสารข้อมูล 100เมกะบิตต่อวินาทีเป็นระบบเครือข่ายที่ใช้สายใยแก้วนำแสง
(Fiber Optic) ในการเชื่อมต่อ จึงต้องใช้งบประมาณในการติดตั้งสูง
ไม่นิยมนำมาใช้ในองค์กรขนาดเล็ก แต่จะนิยมใช้ในองค์กรขนาดกลาง และขนาดใหญ่
และส่วนใหญ่ใช้ในการสร้างเป็นเส้นทางหลักหรือเป็นแกนของระบบเครือข่าย หรืออาจใช้เครือข่าย 100BaseFX
เชื่อมโยงระบบเครือข่ายระหว่างสำนักงานที่มีระยะทางไกลๆให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้
2.5 เครือข่ายอีเธอร์เน็ต
1000BaseTX
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1000BaseTX ถูกนำมาใช้ในการสร้างเป็นเส้นทางหลักของระบบเครือข่าย
มีความเร็วในการสื่อสารข้อมูลสูงถึง 1000 เมกะบิตต่อวินาที
มีความสามารถในการรองรับระบบงานได้เกือบทุกประเภท
เหมาะสำหรับองค์กรที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมาก ต้องการความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง
และระบบเครือข่ายอีเธอร์เน็ตแบบ 1000BaseTX จะทำการเชื่อมต่ออุปกณ์ศูนย์กลางประเภทสวิตช์แทนฮับ
3.ติดตั้งและใช้งานครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
ปัจจุบันมาตรฐานที่นิยมในการเชื่อมต่อเครือข่ายท้องถิ่น จะเป็นการสร้างระบบเครือข่ายแบบสตาร์
โดยมีอุปกรณ์ศูนย์กลางในการเชื่อมคือ Hub หรือ Switch แต่อุปกรณ์ Hub ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยม เนื่องจาก Switch
มีราคาถูกลงมาก สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายท้องถิ่น แบบสตาร์
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมก็ต้องมี Switch อย่างน้อย 1 ตัว
โดยมีจำนวนพอร์ตที่เพียงพอกับจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการเชื่อมต่อ
โดยต้องใช้สาย UTP (Cat5) และหัวเชื่อมต่อแบบ RJ-45 ในการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ศูนย์กลางหรือ Switch
กับเครื่องคอมพิวเตอร์
3.1
การเข้าหัวสาย UTP (Cat 5) แบบ RJ-45
การเข้าหัวสาย UTP แบบ RJ-45 เพื่อนำไปใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายท้องถิ่นสามารถแบ่งได้เป็น
2 ประเภทลักษณะการใช้งานคือ แบบสายตรง
คือสายปกติทั่วไปที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างการ์ดแลน และ Switch
อีกประเภทเป็นแบบสายไขว้ (Crossover Cable) ใช้เชื่อมต่อระหว่างการ์ดแลน
2 การ์ด เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง
สามารถติดต่อได้โดยตรงไม่ต้องผ่าน Hub หรือ Switch และในการทำสายดังกล่าวต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือเฉพาะสำหรับเข้าหัวสาย
ดังนี้
-
เครื่องมือสำหรับเข้าหัวสาย RJ-45
(Crimping Tool)
-
หัวต่อ RJ-45
มาตรฐานสายสัญญาณ UTP แบบ
Category 5e (CAT5e) สีของฉนวนหุ้มเส้นลวดในสาย UTP เมื่อเราปอกเปลือกชั้นนอกของสาย
UTP ออกมา จะเห็นลวดเส้นเล็กๆ (Electronics Industries
Association) และ TIA (Telecommunication Industries Association )ร่วมกันกำหนดมาตรฐาน
EIA/TIA 568 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการผลิต สาย UTP โดยจะเรียกสายแต่ละประเภทเป็น
Category N ซึ่งราละเอียดของสีได้แสดงไว้ในตารางต่อไปนี้
ขั้นตอนการเข้าหัวสาย UTP (Cat5) แบบ
RJ-45
1.
วัดระยะของสายที่ต้องใช้ เช่น จากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยัง Switch หรือ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
2 เครื่อง ในกรณีที่ต้องการใช้สายแบบไขว้ หรือ Crossover โดยอาจเผื่อระยะของสายให้ยาวไว้ก่อนและทำการตัดสาย
UTP ให้ยาวตามระยะที่วัดหรือตามที่ต้องการ
2.
ปอกเปลือกของสาย UTP ออกด้วยเครื่องมือเข้าหัวสายโดยสอดปลายสายเข้าไปในช่องที่เขียนว่า
Strip ให้สุด
แล้วบีบเครื่องมือจนได้ยินเสียงคลิกก่อนจึงสามารถคลายเครื่องมือออกได้
3.
ลอกเปลือกสาย UTPที่เป็นสีขาวออก
ให้ได้ความยาวประมาณ 13 มิลลิเมตรและจัดลำดับสีให้ตรงตามมาตรฐานที่ต้องการ
เช่น แบบสายตรง (Straightthrough Cable) ปลายสายทั้งสองข้าง จะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยส่วนมากนิยมใช้เป็นมาตรฐานการเข้าหัว RJ-45 แบบ EIA/TIA
568B แต่ถ้าต้องทำเป็นสายไขว้ (Crossover Cable) เพื่อเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์
2 เครื่องเข้าด้วยกัน ปลายสายทั้งสองข้าง จะต้องเป็นคนละมาตรฐานกัน
เช่น ปลายข้างหนึ่งเป็นมาตรฐานการเข้าหัว RJ-45 แบบ EIA/TIA
568A ปลายอีกข้าง ต้องเป็นมาตรฐานการเข้าหัว RJ-45 แบบ EIA/TIA
568B
4.
สอดปลายสายที่จัดลำดับสีไว้แล้วใส่เข้าด้านหลังของหัวเชื่อมต่อ
RJ-45 ดันให้สุด เพื่อให้ใบมีดสามารถกดลงบนสายได้เต็มที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น